8 คำถามน่ารู้ วัคซีนโควิด-19

8 คำถามน่ารู้ วัคซีนโควิด-19

HIGHLIGHTS:

  • การได้รับวัคซีนเข็มแรกยังไม่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้มากพอที่จะสามารถป้องกันโรคและใช้ชีวิตได้ตามปกติ ยังคงต้องสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง และหมั่นล้างมืออยู่เสมอ
  • วัคซีนไม่ว่าจากบริษัทใดก็ตาม ไม่สามารถต้านเชื้อ โควิด-19 ได้ 100% จากการศึกษาและงานวิจัยของบริษัทผลิตวัคซีนต่างๆ พบว่า วัคซีนสามารถต้านเชื้อ โควิด-19 ได้ตั้งแต่ 50-95% ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของวัคซีนและการตอบสนองของแต่ละบุคคล
  • ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล หากฉีดวัคซีนไปแล้วรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมีไข้ หรือปวดบริเวณที่ฉีด สามารถรับประทานยาลดไข้แก้ปวดได้ ไม่จำเป็นต้องทานไปก่อนล่วงหน้า

เนื่องจากโรคโควิด-19 นั้นเป็นโรคอุบัติใหม่ และวัคซีนโควิด-19 ก็เป็นเรื่องที่ยังใหม่มาก จึงมีข้อมูลการศึกษาและงานวิจัยออกมาน้อยมากๆ เช่นกัน ณ ตอนนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2021) ประเทศไทยเริ่มให้มีการฉีดวัคซีนสำหรับประชาชนที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และคนที่มีโรคประจำตัว แต่ประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ยังมีความกังวลและมีคำถามเกี่ยวกับวัคซีนว่า ฉีดแล้วป้องกันได้จริงไหม ฉีดแล้วจะอันตรายไหม หรือฉีดแล้วใช้ชีวิตตามปกติได้เลยรึเปล่า

Q1: วัคซีนสามารถป้องกันโรคโควิด-19 ได้จริงหรือไม่?

A1: โดยทั่วไป หลักการของการผลิตวัคซีน คือ การเอาเชื้อโรคมาทำให้อ่อนแรงจนไม่สามารถทำให้เกิดโรคในร่างกายได้ จึงนำมาผลิตเป็นวัคซีนแล้วฉีดเข้าไปในร่างกายเพื่อให้สร้างภูมิต้านทานขึ้นมา เหมือนกับในวัคซีนโควิด-19 มีการนำเอาเชื้อก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์ต่างๆ มาทำเป็นวัคซีนแล้วฉีดเข้าไปในร่างกายของมนุษย์ เพื่อให้เราสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา โดยขณะนี้ วัคซีนโควิด-19 ที่ทุกประเทศผลิตผ่านการทดลองในขั้นของสัตว์ทดลองเรียบร้อยแล้ว มีการฉีดให้อาสาสมัครที่เป็นมนุษย์จำนวนมาก และมีการติดตามผลซึ่งพบว่าเป็นผลดี เนื่องจากร่างกายมีการสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคโควิด-19 เป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการศึกษาต่อไปว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นนี้จะยังคงอยู่ในระยะยาวหรือไม่ และอีกหนึ่งประเด็น คือ ไวรัสโควิด-19 เป็นไวรัสโคโรน่าที่มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลาจึงยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า การฉีดวัคซีนนี้จะสามารถครอบคลุมการระบาดในระยะยาวได้หรือไม่ จำเป็นที่จะต้องฉีดทุกปีเหมือนกับไวรัสไข้หวัดใหญ่หรือเปล่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ยังมีข้อมูลไม่มาก ซึ่งเป็นประเด็นที่เราจะต้องติดตามต่อไป

Q2: วัคซีนโควิด -19 ของแต่ละประเทศ มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?

A2: ขณะนี้ทุกประเทศทั่วโลกพยายามที่จะผลิตวัคซีน โควิด-19 ออกมาใช้ให้เร็วที่สุด ซึ่งกระบวนการผลิตและหลักการในการผลิตของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน จึงทำให้วัคซีนในปัจจุบันนั้นมีความแตกต่างกัน จากข้อมูลของศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลบอกว่า วัคซีนที่มีการผลิตและมีแนวโน้มที่จะได้ผลในปัจจุบันนี้มี 4 แบบด้วยกัน คือ

  1. Inactivated Vaccine ของประเทศจีน โดยบริษัท SinoPharm, SinoVac Biotech และ Wuhan Institute of Biological Products วัคซีนชนิดนี้ คือ การเอาไวรัสทั้งตัวมาทำให้อ่อนแรงและฉีดเข้าไปในร่างกายของคน เพื่อทำให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทานขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการผลิตวัคซีนมาตรฐานของโรคชนิดอื่นๆ ที่ทำมาโดยตลอดเช่นเดียวกัน
  2. Adenovirus Vector Vaccine เป็นวิธีการผลิตของบริษัท CanSino ประเทศจีน บริษัท AstraZeneca ของประเทศอังกฤษ และ Gamaleya ของประเทศรัสเซีย ซึ่งก็คือการตัดต่อเอายีนของไวรัสโควิด-19 เข้าไปใส่ในตัว Adenovirus และผลิตเป็นวัคซีนเข้าสู่ร่างกาย
  3. mRNA Vaccine เช่น Moderna วัคซีนตัวนี้ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงสาธารณสุขของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตัวเดียวกับวัคซีนที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนำมาพัฒนา ขณะนี้วัคซีนชนิดนี้เข้าสู่การทดลองระยะที่ 3 แล้ว สามารถกระตุ้นให้คนปกติและผู้สูงอายุเกิดภูมิคุ้มกันได้ดี นอกจากนั้น ยังมี Sputnik V จากประเทศรัสเซีย และ Pfizer จากประเทศสหรัฐอเมริกา วัคซีนประเภทนี้ใช้เทคโนโลยีใหม่ในการผลิต ซึ่งมีข้อดีคือผลิตได้ง่ายและรวดเร็ว มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้ประมาณ 95%
  4. Protein-based Vaccine ใช้เทคโนโลยีการผลิตโปรตีนของเปลือกไวรัส ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่รู้จักกันดีอยู่แล้วเพราะมีการใช้ในวัคซีนอื่น เช่น ตับอักเสบบี ไข้หวัดใหญ่ โดยจะมีการใส่ adjuvant ที่กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ซึ่งบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีนี้ในการผลิต ได้แก่ บริษัท Novavax ของประเทศสหรัฐอเมริกา และ บริษัท Sanofi ร่วมมือกับบริษัท GSK

ปัจจุบันเรายังไม่มีข้อมูลในเรื่องของประสิทธิภาพของวัคซีนในระยะยาวว่าภูมิคุ้มกันจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ และต้องมีการฉีดวัคซีนกระตุ้นบ่อยแค่ไหน จึงต้องติดตามข้อมูลเพิ่มเติมในอนาคตต่อไป

Q3: เมื่อได้รับวัคซีนป้องกัน โควิด-19 เข็มแรกแล้ว ยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคหรือไม่?

A3: การได้รับวัคซีนเข็มแรกยังไม่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้มากพอที่จะสามารถป้องกันโรคและใช้ชีวิตได้ตามปกติ เรายังคงต้องสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง และหมั่นล้างมืออยู่เสมอ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2021 ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐหรือ CDC ได้มีประกาศฉบับใหม่แจ้งว่า หากได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว สามารถออกไปนอกบ้านหรือออกไปในพื้นที่เปิดโล่ง โดยไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยได้ รวมถึงไปทานข้าวพบปะสังสรรค์กับบุคคลอื่นที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเช่นกัน แต่ยังคงแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยและรักษาระยะห่างทางสังคม หากต้องไปทำกิจกรรมที่มีผู้คนหนาแน่น

อย่างไรก็ตาม คำแนะนำนี้ไม่สามารถนำมาใช้กับประเทศไทยได้ เนื่องจากมีการใช้วัคซีนคนละชนิดกัน ทั้งนี้ เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน จึงอาจเกิดความเสี่ยงในการติดโรคหรือแพร่เชื้อโรคต่อไปได้ ในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลยืนยันที่แน่ชัดเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นนี้ แต่พบว่า แม้แต่ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วก็ยังสามารถติดเชื้อหรือป่วยอีกได้  (ข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2021) สิ่งที่ควรทำที่สุดตอนนี้ คือ ทุกคนควรเฝ้าระวังสุขภาพของตัวเอง เพื่อลดจำนวนการติดเชื้อ ป้องกันตัวเอง และหยุดความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19

*ในประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนโควิดเข็มแรกช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 64 (28 กุมภาพันธ์ 2021)

Q4: ทำไมมีคนเสียชีวิตหลังจากฉีดวัคซีน โควิด-19?

A4: วัคซีน คือ กระบวนการหนึ่งที่จะหยุดยั้งการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในวงกว้างได้ เมื่อร่างกายได้รับวัคซีนไม่ว่าจะเป็นวัคซีนของโรคใดๆ กระบวนการของร่างกายก็จะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้น ทำให้เราไม่ป่วยเป็นโรคนั้น หรือถ้าป่วยก็มีอาการไม่รุนแรง การฉีดวัคซีน โควิด-19 ก็เช่นเดียวกัน จะทำให้ลดอาการป่วยลง หรือถ้ามีอาการป่วยก็จะไม่รุนแรง รวมถึงลดโอกาสการเสียชีวิตลงด้วย โดยทั่วไปเมื่อร่างกายได้รับวัคซีน ก็สามารถเกิดผลข้างเคียงได้ ตั้งแต่ผลข้างเคียงที่มีความรุนแรงมาก เช่น เสียชีวิต หรือผลข้างเคียงที่มีความรุนแรงน้อยๆ เช่น มีไข้ ปวดเมื่อยเนื้อตัว หรือมีอาการผื่นคัน การเสียชีวิตส่วนมากแล้วมักเกิดจากการแพ้วัคซีนอย่างรุนแรง รวมถึงการเสียชีวิตจากสาเหตุอื่นๆ ที่อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับวัคซีน

Q5: ใครบ้างที่ควรได้รับวัคซีน โควิด-19?

A5: เนื่องจากโรคโควิด-19 ระบาดรุนแรงไปในทุกกลุ่มประชากร ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หนุ่มสาว หรือผู้สูงวัย ในขณะที่วัคซีนก็ยังผลิตได้ไม่มาก จึงอาจจะเกิดคำถามว่า ใครบ้างที่จะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรกๆ

องค์การอนามัยโลกมีคำแนะนำว่า กลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงและสมควรที่จะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรกๆ มีทั้งหมด 3 กลุ่มด้วยกัน คือ

  1. กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ เพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงเนื่องจากมีการสัมผัสกับโรคโดยตรง จึงควรที่จะต้องมีสุขภาพที่แข็งแรงเพื่อที่จะดูแลคนป่วยคนอื่นๆ ต่อไป
  2. กลุ่มผู้สูงอายุ เพราะกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีภูมิต้านทานต่ำ หากมีการติดเชื้อก็อาจมีการเจ็บป่วยที่รุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้น
  3. กลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ภาวะอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงและจำเป็นต้องได้รับวัคซีนในกลุ่มแรกๆ เช่นเดียวกัน

ในปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 29 พฤษภาคม 2021) เนื่องจากมีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างมากขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2021 จะมีกลุ่มอื่นๆ ของประชากรที่ทยอยได้รับวัคซีนบ้างแล้ว ได้แก่ ผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงหรือจังหวัดที่มีการระบาดเป็นจำนวนมาก เช่น กรุงเทพมหานคร เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2021 ที่ผ่านมานี้ รัฐบาลประกาศให้ประชาชนทุกกลุ่มที่ประสงค์จะฉีดวัคซีนได้ลงทะเบียนฉีดวัคซีนเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ เราก็ยังจำเป็นต้องรักษามาตรการต่างๆ ทางสาธารณสุขเอาไว้ ได้แก่ การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ และรักษาระยะห่าง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและไม่ควรละเลย อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพมาก และสามารถป้องกันตัวเราได้เช่นกัน

Q6: ฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 แค่ครั้งเดียวพอหรือไม่?

A6: มีวัคซีนหลายชนิด ที่ฉีดเพียงครั้งเดียวก็เกิดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต เช่น วัคซีนป้องกันงูสวัด สำหรับไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน (11 Mar 2021) ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าการฉีดวัคซีนเพียงครั้งเดียวนั้นเพียงพอหรือไม่ เพราะด้วยความที่วัคซีน โควิด-19 เป็นวัคซีนที่ผลิตขึ้นใหม่ มีการฉีดและใช้กับผู้คนยังไม่เกิน 1 ปี ต้องมีการติดตามต่อไปว่าในระยะยาวแล้ว ภายใน 1 ปี ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นนั้นจะยังคงอยู่หรือไม่ ระดับของภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นลดลงไปในระยะเวลานานเท่าไหร่ ทั้งนี้ มีแนวโน้มสูงมากว่า การฉีดวัคซีนเพียงครั้งเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากไวรัส โควิด-19 เป็นไวรัสที่อยู่ในตระกูลโคโรน่า ซึ่งมีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา จึงเป็นไปได้ว่า วัคซีนที่ผลิตในวันนี้อาจจะไม่ครอบคลุมการระบาดซึ่งเกิดจากตัวไวรัสที่กลายพันธุ์ไปแล้ว จึงต้องมีการติดตามต่อไปเป็นระยะ ดังนั้น มาตรการทางสาธารณสุขก็ยังมีความจำเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือบ่อยๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ และการรักษาระยะห่างทางสังคม

Q7: ทำไมฉีดวัคซีนต้าน โควิด-19 แล้ว จึงยังติดเชื้อได้อยู่?

A7: สิ้นเดือนมกราคม ปี 2564 วัคซีนจำนวนหนึ่งล้านโดส ได้ถูกฉีดออกไปทั่วโลก หรือประมาณ 50 ล้านคนได้ฉีดวัคซีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทำไมยังมีข่าวว่าคนที่ได้รับวัคซีนถึงยังติดเชื้อโควิด-19 อยู่

  • ปัจจัยที่ 1 ระยะเวลาในการฉีดวัคซีนและการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย วัคซีนโควิด-19 ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะต้องฉีดให้ครบ 2 เข็ม ร่างกายจึงจะสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น ถ้าเราได้รับเชื้อระหว่างที่ร่างกายยังสร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่เต็มที่ หรือสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงบางส่วน เราจึงยังมีโอกาสติดเชื้อได้อยู่
  • ปัจจัยที่ 2 วัคซีนไม่ว่าจากบริษัทใดก็ตาม ไม่สามารถต้านเชื้อ โควิด-19 ได้ 100% จากการศึกษาและงานวิจัยของบริษัทผลิตวัคซีนต่างๆ ที่เปิดเผยออกมาตอนนี้ พบว่า วัคซีนสามารถต้านเชื้อ โควิด-19 ได้ตั้งแต่ 50-95% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของวัคซีนและการตอบสนองของแต่ละบุคคล
  • ปัจจัยที่ 3 ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดกล่าวว่า การฉีดวัคซีนสามารถป้องกันโรค โควิด-19 ได้ แต่เรื่องของการติดเชื้อนั้น ยังต้องศึกษาต่อไป ยังไม่ชัดเจนนัก ถึงแม้ว่าผู้ที่รับวัคซีนจะมีโอกาสติดเชื้อได้ แต่ไวรัสในตัวจะมีน้อยกว่าและอาการจะเกิดขึ้นน้อยกว่าผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน
  • ปัจจัยที่ 4 วัคซีนไม่ได้มีประสิทธิภาพในการรักษา นั่นหมายความว่า ถ้าเราติดเชื้ออยู่ก่อนแล้ว การฉีดวัคซีนก็ไม่ได้ทำให้เชื้อ โควิด-19 นั้นหายไป

โดยสรุปแล้ว ปัจจัยทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมานั้น ทำให้เราพึงระวังและไม่ชะล่าใจจนเกินไป ถึงแม้ว่าเราจะฉีดวัคซีนแล้ว เราก็ยังมีอากาสติดเชื้อได้อยู่ดี

Q8: ต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนฉีดวัคซีน โควิด-19?

  1. คืนก่อนที่จะไปฉีดวัคซีนพยายามนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เพื่อที่วันที่ไปฉีดวัคซีนจะได้ตื่นเช้าด้วยความสดชื่น
  2. พยายามดื่มน้ำ 500 ซีซี ถึง 1ลิตรในเช้าวันนั้น แต่มีคำแนะนำว่า อย่าดื่มทีเดียว 500 ซีซี ถึง 1ลิตร เพราะหลายคนได้รับฟังคำแนะนำนี้แล้วไปดื่มจำนวนมาก ทำให้เกิดอาการแน่นท้อง ให้ค่อยๆ ทยอยดื่มไปเรื่อยๆ โดยน้ำที่ดื่มต้องเป็นน้ำสะอาด
  3. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ เนื่องจากคาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นทำให้หัวใจเต้นเร็ว หากเราดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แล้วไปฉีดวัคซีนในวันนั้น อาจจะทำให้เราใจสั่นได้
  4. ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ทั้งนี้ หากฉีดวัคซีนไปแล้วรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวมีไข้ หรือปวดบริเวณที่ฉีด สามารถรับประทานยาลดไข้แก้ปวดได้ ไม่จำเป็นต้องทานไปก่อนล่วงหน้า

ทั้งนี้ เนื่องจาก วัคซีนโควิด-19 เป็นเรื่องที่ใหม่มาก ข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนจึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามการศึกษาและงานวิจัยต่างๆ ในอนาคต เพราะฉะนั้นจึงแนะนำให้ประชาชนเลือกรับข้อมูลข่าวสารจากผู้เชี่ยวชาญ หรือจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้เท่านั้น

คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?