หมดกังวลใจในทุกภัยเงียบ
ด้วยโปรแกรมตรวจหาความเสี่ยงโรคร้ายสำหรับวัย 40 ปี ขึ้นไป
มะเร็ง
มะเร็ง เป็นโรคที่ไม่มีใครอยากให้เกิดกับตัวเองหรือคนที่เรารัก ดังนั้น หากคุณมีญาติสายตรงเป็นมะเร็งอย่างน้อย 1 คน คุณก็เสี่ยงกว่าคนอื่นแล้ว!!!
สาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็ง
- สิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต 90%และพันธุกรรม10%
- ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม เช่น ได้รับสารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหารและเครื่องดื่ม มลพิษทางอากาศ การได้รับรังสี การติดเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรียและพยาธิบางชนิด
- ปัจจัยจากพฤติกรรม เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มสุราเป็นประจำ การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อาหารหมักดอง อาหารที่ผสมสารกันบูด และอาหารไหม้เกรียม ปิ้งย่างเขม่าดำ มีความเครียดสะสมเรื้อรังมาเป็นเวลานาน
- ปัจจัยทางพันธุกรรม เช่น ความผิดปกติของยีนที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่หรือบรรพบุรุษ ซึ่งปัจจัยนี้ แม้จะมีสัดส่วนค่อนข้างต่ำ แต่ถ้าได้รับการถ่ายทอดมาแล้วสามารถทำให้บุคคลนั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดมะเร็งในอนาคต
คลิกทำแบบประเมินหาความเสี่ยงโรคมะเร็งได้ ที่นี่
อัลไซเมอร์
ลืมง่าย จดจำยาก บ่อยครั้ง
จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมที่พบใหม่ ร้อยละ 50 ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ คนทั่วไปเมื่ออายุมากกว่า 65 ปี มีความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทุกๆ 5 ปี และเพศหญิงจะพบความเสี่ยงมากกว่าเพศชายเมื่ออายุมากกว่า 85 ปีขึ้นไป
โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease) เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดของภาวะสมองเสื่อมทั้งหมด แม้ว่าโรคนี้จะพบบ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ แต่โรคนี้ก็สามารถเกิดได้กับวัยทำงานได้เช่นกัน ในทางการแพทย์ได้มีการศึกษาเพื่อหาวิธีป้องกันและรักษา ซึ่งถ้าวินิจฉัยและรักษาได้ถูกต้องรวดเร็ว จะช่วยให้อาการทุเลาขึ้น การดำเนินโรคช้าลง หรือบางกรณีอาจสามารถรักษาให้กลับคืนเป็นปกติได้
โรคอัลไซเมอร์มักส่งผลต่อความจำ ความคิด และพฤติกรรมต่างๆ อาการของโรคจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่เป็นโรคนี้จะค่อยๆลืมอดีตของตนเอง ลืมกิจกรรมที่ทำในชีวิตประจำวัน หนักที่สุดคือลืมชื่อคนในครอบครัว สาเหตุที่แท้จริงของโรคอัลไซเมอร์นั้น เกิดจากหลายปัจจัย เช่น ยีนบางชนิดเกิดการกลายพันธุ์ สารพิษโลหะหนัก ความเครียดเรื้อรัง โรคไขมันในเลือดสูง โรคซึมเศร้า ขาดการออกกำลังกาย
ในปัจจุบันเราสามารถรู้ก่อน เพื่อหาทางป้องกันได้ จากการตรวจสุขภาพแบบเชิงลึกระดับยีนหรือการใช้เครื่องมือที่ทันสมัยร่วมวินิจฉัยตั้งแต่เริ่มต้น
คลิกทำแบบประเมินหาความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ได้ ที่นี่
สโตรก
ปวดหัวบ่อย ไขมันและความดันในเลือดสูง รีบมาพบแพทย์
โรคหลอดเลือดสมองตีบ/แตก หรือ สโตรก (Stroke) นั้นเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น โรคเรื้อรังที่เป็นอยู่เดิม เช่น โรคเบาหวาน โรคเครียด โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น รวมทั้งการรับประทานอาหารที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ และขาดการออกกำลังกาย
หากผู้ป่วยเริ่มมีอาการของสโตรกเกิดขึ้นแล้ว ผู้ป่วยมีเวลาเพียง 270 นาที ก่อนที่เนื้อสมองจะตาย จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยสโตรก 2 ใน 3 อาจจะเกิดความพิการไปตลอดชีวิต หากมาถึงโรงพยาบาลช้าเกินไป
4 สัญญาณเตือนของสโตรก (F.A.S.T.) ที่คุณควรรู้
- FACIAL PALSY: มีอาการกล้ามเนื้อที่หน้าอ่อนแรง ปากเบี้ยว หลับตาไม่สนิท น้ำลายไหล มุมปากตก ไม่สามารถยิงฟันหรือยิ้มได้
- ARM DRIP: แขนหรือขาอ่อนแรง ซีกใดซีกหนึ่ง ยกไม่ขึ้น หรือยกขึ้นค้างได้ ไม่นานก็ตกลง
- SPEECH: พูดลำบาก พูดจาติดๆ ขัดๆ พูดไม่ชัด นึกคำพูดไม่ออก
- TIME: นำผู้ป่วยนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพราะเนื้อสมองจะตายภายใน 270 นาทีหลังเกิดอาการ
ในปัจจุบันเราสามารถดูแลและป้องกันตัวเองจากสโตรกได้ ด้วยการตรวจสุขภาพร่างกายแบบเฉพาะเจาะจงในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง
คลิกทำแบบประเมินหาความเสี่ยงโรคสโตรกได้ ที่นี่
โรคหัวใจ
คุณก็เสี่ยงโรคหัวใจ หากมีใครในครอบครัวเป็น
ในปัจจุบันพบว่าโรคหัวใจ ทำให้คนเสียชีวิตเป็นอันดับ 2 รองจากโรคมะเร็ง โรคหัวใจนั้นมีหลายประเภท แต่ที่พบได้บ่อยคือ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน กล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ และโรคหัวใจหยุดเต้นฉับพลัน ปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจนั้น มีทั้งที่ควบคุมได้และไม่สามารถควบคุมได้
ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้
- พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ สมาชิกคนอื่นในครอบครัวจะมีความเสี่ยงด้วย
- อายุที่เพิ่มขึ้น แนะนำมาตรวจสุขภาพหัวใจอย่างสม่ำเสมอ สำหรับคนอายุ 40 ปี ขึ้นไป
- เพศ จากงานวิจัยพบว่า ผู้ชายมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิง และผู้หญิงที่หมดประจำเดือนจะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิงที่ยังไม่หมดประจำเดือน
ปัจจัยที่เราสามารถควบคุมได้ และยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ
- ควรรักษาระดับคอเลสเตอรอล น้ำตาล และความดันโลหิต ให้อยู่ในระดับปกติ
- การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้อ้วน
- งดสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์
- ไม่เครียดบ่อยจนเกินไป
เราสามารถตรวจเช็คสุขภาพหัวใจได้จากการตรวจสุขภาพประจำปี หรือตรวจหัวใจโดยใช้เครื่องมือที่เฉพาะเจาะจงโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจ
คลิกทำแบบประเมินหาความเสี่ยงโรคหัวใจได้ ที่นี่
โรคไขมันพอกตับ
ดื่มแอลกอฮอล์เกินวันละ 2 หน่วย เพิ่มความเสี่ยงไขมันพอกตับ
โรคไขมันพอกตับ เกิดจากการมีไขมันไปสะสมอยู่ในเซลล์ตับจนเกิดความเสียหายต่อเนื้อตับ ทำให้ตับอักเสบ หรือมีพังผืด หากปล่อยไว้นานจะทำให้เนื้อตับตาย กลายเป็นโรคตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับในที่สุด
โรคไขมันพอกตับ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ โรคไขมันพอกตับที่มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์ (Alcoholic fatty liver disease, AFLD) และ โรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์ (Non-alcoholic fatty liver disease, NAFLD)
สำหรับโรคไขมันพอกตับที่มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์ หากดื่มแอลกอฮอล์เกินวันละ 2 หน่วย จะส่งผลเสียต่อเซลล์ตับได้อย่างรวดเร็ว (แอลกอฮอล์ 1 หน่วย = สก็อตช์ วิสกี้ เหล้าขาว เหล้ามีสี 1 แก้ว ขนาด 30 มิลลิลิตร หรือประมาณ 1 เป๊ก, ไวน์ 1 แก้ว ขนาด 100 มิลลิลิตร และเบียร์ 1 แก้ว ขนาด 285 มิลลิลิตร)
โรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้มีสาเหตุจากการดื่มแอลกอฮอล์ มักพบในผู้ป่วยโรคอ้วน ทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ โรคเบาหวานหรือภาวะดื้อต่ออินซูลิน โรคไขมันในเลือดสูง หรือปัจจัยทางพันธุกรรม หรือยาบางชนิด หรือผู้ที่ชอบรับประทานอาหารหวานหรือขนมหวานบ่อย ก็สามารถมีความเสี่ยงเป็นโรคไขมันพอกตับได้
คลิกทำแบบประเมินหาความเสี่ยงโรคไขมันพอกตับได้ ที่นี่
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
นอนกรน หยุดหายใจขณะหลับ เสี่ยงโรครุนแรง
โรคนอนกรนนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ
- นอนกรนแบบธรรมดา คือ การนอนกรนเสียงดังอย่างเดียว ถือเป็นภาวะที่ก่อความรำคาญต่อคู่สมรส หรือคนอื่นๆ ที่นอนร่วมห้อง ไม่มีผลกระทบมากต่อสุขภาพ
- นอนกรนแบบมีหยุดหายใจ เกิดจากการที่มีทางเดินหายใจแคบมากในเวลาหลับ โดยที่เมื่อยังหลับไม่สนิทจะยังเป็นการกรนที่สม่ำเสมอ แต่เมื่อหลับสนิทจะเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ และจะมีช่วงหยุดกรนไปชั่วระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการหยุดหายใจ (Obstructive Sleep Apnea) ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับการกลั้นหายใจ ช่วงที่หยุดหายใจนี้เอง ที่ทำให้เกิดอันตรายเนื่องจากระดับออกซิเจนในเลือดแดงจะลดต่ำลงอย่างมาก ทำให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ ปอด และสมอง ยิ่งหยุดหายใจมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งส่งผลให้กลางวันง่วงมากหรือเพลียมากเท่านั้น รวมทั้งยังเป็นผลเสียต่อสุขภาพโดยมีโอกาสเสี่ยงมากขึ้นที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหัวใจขาดเลือด ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และโรคของหลอดเลือดในสมอง
คลิกทำแบบประเมินหาความเสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับได้ ที่นี่