อันตราย! กลั้นอุจจาระ เสี่ยงริดสีดวง-มะเร็งลำไส้

อันตราย! กลั้นอุจจาระ เสี่ยงริดสีดวง-มะเร็งลำไส้

Highlights:

  • การกลั้นอุจจาระบ่อย อาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกาย และทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา เช่น ท้องผูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ ริดสีดวงทวาร ภาวะอุจจาระตกค้าง ลำไส้อุดตัน  
  • หากรู้สึกว่าตนเองมีปัญหาในการขับถ่าย ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ด้านระบบทางเดินอาหารและตับ เพื่อทำการวินิจฉัยและป้องกันโรค และทำการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ 
  • นอกจากการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้แล้ว เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน ทำให้เราสามารถตรวจยีนมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นการตรวจแบบเฉพาะเจาะจง ที่จะช่วยป้องกันและรู้ทันมะเร็งลำไส้จากพันธุกรรมได้  

การกลั้นอุจจาระ อาจเป็นพฤติกรรมที่หลายคนทำเป็นปกติ เนื่องด้วยการดำเนินชีวิต ที่ไม่เอื้อต่อการเข้าห้องน้ำ เมื่อปวดอุจจาระและมีความรีบเร่งในชีวิตประจำวัน ก็ทำให้กลั้นอุจจาระจนเคยชิน แต่ทราบหรือไม่ว่า การกลั้นอุจจาระ สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายและอาจก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ 

กลั้นอุจจาระบ่อย ส่งผลเสียอะไรบ้าง?

การกลั้นอุจจาระ อาจส่งผลเสียต่าง ๆ ต่อร่างกาย ดังนี้

  • ถ่ายอุจจาระไม่เป็นเวลา 
  • ท้องผูกเรื้อรัง การกลั้นอุจจาระ จะทำให้อุจจาระที่ค้างในลำไส้ มีการถูกดูดซึมน้ำกลับมากขึ้น กลายเป็นก้อนแข็ง ส่งผลให้ถ่ายลำบากมากขึ้นหรือที่เรียกว่า “ท้องผูก” อาการท้องผูกหากเป็นเรื้อรัง หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น น้ำหนักลด ถ่ายเป็นเลือด ท้องผูกสลับท้องเสีย ถ่ายอุจจาระลำเล็กลง อาจเป็นอาการนำของโรคที่ร้ายแรง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่
  • ริดสีดวงทวาร สืบเนื่องจากการที่อุจจาระที่ตกค้างในลำไส้ ถูกดูดซึมน้ำกลับมากขึ้น ทำให้มีลักษณะแข็ง ในการถ่ายแต่ละครั้ง ต้องมีการใช้แรงเบ่ง ทำให้เส้นเลือดที่ทวารหนัก มีการโป่งพอง ก่อให้เกิดโรคริดสีดวงทวารและอาการปวดได้ หากมีการโป่งพองมาก และถูกครูดด้วยอุจจาระที่แข็งก็อาจทำให้มีการแตก และมีเลือดออกได้ 

อาการของริดสีดวงทวาร อาจเริ่มตั้งแต่ไม่มีอาการ มีก้อน มีอาการปวด ไปจนถึงมีเลือดออกมากได้

  • ภาวะอุจจาระตกค้าง เกิดจากการอุจจาระไม่หมด อาจทำให้มีภาวะท้องผูกที่รุนแรงขึ้น แน่นท้อง แน่นลม คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ รับประทานอาหารได้น้อย นอนไม่หลับ
  • ลำไส้อุดตัน หากอุจจาระไม่เป็นเวลา จนอุจจาระกลายเป็นก้อนแข็งสะสมกันนานเข้า อาจทำให้ไม่สามารถถ่ายออกมาได้ เกิดภาวะลำไส้อุดตัน ซึ่งอาจต้องทำการแก้ไขโดยการผ่าตัด

นอกจากนี้หากมีการกลั้นอุจจาระจนท้องผูก และต้องใช้ยาระบายบ่อย ๆ อาจเกิดภาวะลำไส้ดื้อยา ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณการใช้ยาไปเรื่อย ๆ 

ดูแลตัวเอง เลิกนิสัยกลั้นอุจจาระ

จากผลเสียของการกลั้นอุจจาระดังที่กล่าวมาแล้ว แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการไม่กลั้นอุจจาระ และฝึกการขับถ่ายให้เป็นกิจวัตร โดยการปฏิบัติตัว ดังนี้

  • ฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลาทุกวัน อาจเป็นเวลาเช้าหลังตื่นนอน หรือหลังอาหารเช้า เนื่องจากร่างกายมีกลไกตามธรรมชาติที่กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ หลังจากได้รับอาหารมื้อแรก เราสามารถอาศัยกลไกตามธรรมชาตินี้ช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้ 
  • ท่านั่งในการถ่ายอุจจาระ หากนั่งบนชักโครก ควรโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย มีที่วางเท้าเพื่อช่วยเสริมให้เท้าถึงพื้นหรือเข่างอเล็กน้อย คล้ายท่านั่งยอง
  • รับประทานอาหารที่มีกากใย เช่น ผัก ผลไม้ หากมีอาการท้องผูก อาจเสริมอาหารที่มีโปรไบโอติก เช่น นมเปรี้ยว โยเกิร์ต ชาหมัก เป็นต้น
  • ดื่มน้ำให้พอเพียง การรับประทานน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด การดื่มน้ำช่วยให้ผิวของเรามีความชุ่มชื้น สุขภาพดี และช่วยเรื่องระบบกระเพาะปัสสาวะ ระบบย่อยอาหาร กระตุ้นระบบการขับถ่ายป้องกันนิ่วและท้องผูก 
  • ออกกำลังกาย เมื่อเราออกกำลังกาย ขยับตัวเป็นประจำ จะช่วยให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนไหว ระบบต่างๆ ในร่างกายเกิดการยืดหยุ่น สร้างความแข็งแรงต่อกล้ามเนื้อ ช่วยสร้างและรักษาภาวะสมดุลของร่างกาย ควบคุมน้ำหนัก 
  • ไม่กลั้นอุจจาระ เมื่อมีอาการปวดควรขับถ่ายตามเวลา ฝึกการเข้าห้องน้ำให้เป็นสุขนิสัยติดตัว เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเองในระยะยาว 
  • หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการขับถ่าย ควรปรึกษาแพทย์ไม่ควรปล่อยไว้ จนอาการของโรคเรื้อรัง เพราะอาจจะส่งผลกระทบจนทำลายการใช้ชีวิตประจำวันได้ รวมถึงอาจจะเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ตามมา 
  • การกลั้นอุจจาระ แม้อาจจะดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่อาจก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาได้ หากรู้สึกว่าตนเองเริ่มมีปัญหาในการขับถ่าย ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทำการวินิจฉัยและป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้นได้

อย่างที่เราทราบกันดีว่า ถ้าระบบการขับถ่ายผิดปกติ อาจจะทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับสุขภาพลำไส้ตามมา ได้แก่  ริดสีดวงทวารหนัก แผลปริที่ขอบทวารหนัก ลำไส้อักเสบเรื้อรัง มะเร็งลำไส้ ฯลฯ 

ดังนั้นหากระบบทางเดินอาหารมีปัญหา หรือขาดสมดุล  ร่างกายจะไม่สามารถทำงานได้ปกติ ส่งผลให้เกิดอาการเหนื่อยล้า ขาดสมาธิ สุดท้ายอาจนำไปสู่โรคร้ายแรงอย่างมะเร็งได้ 

เช็กความผิดปกติของตัวเองว่า มีปัญหาในเรื่องขับถ่ายหรือไม่?

  • ลักษณะของอุจจาระมีการเปลี่ยนแปลง 
  • รู้สึกถ่ายไม่ออก ถ่ายไม่สุดนานติดต่อกันกว่าหนึ่งเดือน 
  • อาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ 
  • ควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหารและตับ เพื่อตรวจคัดกรอง และติดตามอาการเพื่อการป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพ 

การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่

ปัจจุบันมีการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วยเทคนิคที่ทันสมัยผ่านทางกล้อง เช่น NBI (Narrow Band Image) EMR (Endoscopic Mucosal Resection) และ Endobrain (เป็นprogram AI) ที่ช่วยประเมินความเสี่ยงของติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ ซึ่งในการตรวจคัดกรองนั้น มีดังนี้ 

  • สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป (โดยไม่ต้องรอให้มีอาการ) 
  • หากตรวจพบ มะเร็งลำไส้และทวารหนักได้ตั้งแต่ระยะแรก แพทย์จะสามารถประเมินผล เพื่อวางแผนในการรักษาต่อเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพ 
  • การตรวจคัดกรองและรีบดำเนินการรักษา จะสามารถช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ 

ตรวจยีนมะเร็งลำไส้ใหญ่

ผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ประมาณ 5% เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งได้รับยีนที่ผิดปกติมาจากบิดาหรือมารดา 

ปัจจุบันมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ชนิดที่พบบ่อยแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักๆ ได้แก่ 

  • Familial adenomatous polyposis (FAP) 
  • Hereditary nonpolyposis colorectal cancer (HNPCC)

Familial adenomatous polyposis (FAP) 
เป็นโรคทางพันธุกรรมที่พบประมาณ 0.5-1% ของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากกลายพันธุ์ของยีน APC tumor suppressor gene โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นและมากกว่า 99% จะพัฒนาเป็นมะเร็งในช่วงอายุก่อน 40 ปี

Hereditary Nonpolyposis Colorectal Cancer (HNPCC) หรือ Lynch Syndrome 
เป็นโรคทางพันธุกรรม เช่นเดียวกับ FAP แต่พบได้บ่อยกว่า คือ ประมาณ 3-5% ของผู้ที่เป็นมะเร็ง โรคนี้เกิดจากยีน MLH1, MSH2, MSH6 และ PMS2 ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบรหัสพันธุกรรมเกิดการกลายพันธุ์ ปกติแล้วโรคนี้ตลอดช่วงชีวิต มีโอกาสการเกิดมะเร็งลำไส้สูงถึง 80%  
อายุเฉลี่ยของการเกิดมะเร็งลำไส้อยู่ที่ประมาณ 40-50 ปี อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่อื่นๆ ได้อีก เช่น มดลูก กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ตับอ่อน ไต และท่อทางเดินปัสสาวะ 

การแพทย์แบบเฉพาะเจาะจง (Precision Medicine) ช่วยป้องกันและรู้ทันมะเร็งลำไส้จากพันธุกรรม

โรงพยาบาลสมิติเวช ผู้นำด้านการแพทย์แบบเจาะจง (Precision Medicine) มีการพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจยีนขั้นสูง ในการดูแลสุขภาพเชิงรุกโดยค้นหารหัสพันธุกรรมที่ผิดปกติในร่างกาย มีการนำมาใช้แพร่หลายในกลุ่มโรคมะเร็ง ซึ่งมีประโยชน์สำหรับ ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่ต้องการทราบว่ามียีนผิดปกติ ที่อาจส่งต่อลูกหลานได้ในอนาคตหรือไม่ 

ญาติสายตรงของผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่ต้องการทราบว่าในร่างกายของตนเอง มียีนผิดปกติที่ถ่ายทอดมาจากบิดามารดาหรือไม่ การตรวจยีนมะเร็งลำไส้ใหญ่ จะช่วยให้แพทย์ด้านโรคทางพันธุกรรมหาแนวทางป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต แบบเฉพาะบุคคล เช่น วางแผนแนะนำอายุที่เหมาะสมที่ควรเริ่มรับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (คนทั่วไปที่ไม่มีความเสี่ยงด้านพันธุกรรม จะเริ่มส่องกล้องที่อายุ 45 ปีขึ้นไป) วางแผนครอบครัว เตรียมตัวตั้งครรภ์ รวมถึงการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่ห่างไกลจากโรคมะเร็ง

  • ครอบครัวที่มีประวัติเป็นมะเร็งชนิด FAP แนะนำญาติสายตรงที่ต้องการตรวจยีน สามารถเริ่มตรวจได้ที่อายุ 12 ปีขึ้นไป 
  • ครอบครัวที่มีประวัติเป็นมะเร็งชนิด HNPCC แนะนำญาติสายตรงที่ต้องการตรวจยีน สามารถเริ่มตรวจได้ที่อายุ 20 ปีขึ้นไป 
  • สำหรับผู้ที่สุขภาพดี อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ที่ต้องการทราบว่า มียีนผิดปกติที่อาจได้รับการถ่ายทอดมาจากบิดามารดาหรือไม่ ยีนมะเร็งจากพันธุกรรมนั้นอาจจะแสดงออกหรือไม่ก็ได้ในช่วงชีวิตหนึ่ง ขึ้นกับสภาพร่างกายของแต่ละคน พ่อหรือแม่ของเราอาจมียีนมะเร็ง แต่ไม่แสดงออก ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการตรวจยีนมะเร็งลำไส้ใหญ่ และรับคำปรึกษาโดยแพทย์ด้านพันธุกรรมที่จะให้คำแนะนำแบบเฉพาะบุคคล ผลการตรวจจะช่วยนำมาวางแผนการรักษาโรคที่จำเพาะเจาะจง

สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง Targeted Therapy จะเป็นการรักษาอย่างตรงจุด ผลข้างเคียงน้อย สามารถใช้ได้ในผู้สูงอายุที่ไม่แข็งแรงพอที่จะรับยาเคมีบำบัด ประสิทธิภาพในการรักษาสูงถึง 80% เมื่อเทียบกับการให้เคมีบำบัดที่ได้ผลประมาณ 30% 

วิธีการตรวจ และการเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการตรวจ

หลังจากที่ได้รับคำแนะนำให้ตรวจยีนมะเร็งลำไส้ใหญ่ ที่ถ่ายทอดจากพันธุกรรมจากแพทย์ มีรายละเอียดการตรวจ ดังนี้ 

  • สามารถเข้ารับการตรวจได้ทันที โดยไม่ต้องงดน้ำ งดอาหาร 
  • การตรวจยีนทำโดยการเจาะเลือด และอ่านรหัสพันธุกรรมจากดีเอ็นเอในเม็ดเลือดขาว ใช้เวลารอผลประมาณ 2-4 สัปดาห์ 
  • หลังจากนั้นผู้เข้ารับบริการ จะได้รับการประเมินผลตรวจวินิจฉัย โดยแพทย์ด้านโรคทางพันธุกรรมเพื่อเข้าสู่กระบวนการให้คำแนะนำทางพันธุศาสตร์ต่อไป 
  • หากท่านเพิ่งได้รับเลือดมาจากบุคคลอื่นๆ ควรเว้นระยะอย่างน้อย 3 เดือน หรือขึ้นกับการพิจารณาของแพทย์ 

โปรแกรมตรวจยีนมะเร็งลำไส้ใหญ่ คลิก

คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?