หลังสถานการณ์โควิดและการล็อกดาวน์ที่ยาวนาน เมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ เด็ก ๆ กลับไปเรียนที่โรงเรียน การเปิดเทอมครั้งใหม่จึงทำให้โรคติดต่อในเด็กต่างๆ กลับมาระบาดเหมือนเดิม เมื่อมีกิจกรรมการรวมกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการไปโรงเรียน สวนสนุก หรือคาเฟ่ ทำให้เกิดการติดต่อของเชื้อโรคทางเดินหายใจ ไม่เว้นแม้กระทั่งโรคทางเดินอาหาร ไม่ว่าจะเป็น
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ก็ยังได้ยินข่าวว่าไข้เลือดออกได้คร่าชีวิตเด็กและผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย ไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (dengue virus) ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค มักพบในประเทศเขตร้อนและระบาดในช่วงฤดูฝนของทุกปี อาการแสดงของโรคมีตั้งแต่ ไม่มีอาการผิดปกติไปจนถึงมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที นอกจากนี้ไข้เลือดออกยังเป็นโรคที่คาดเดาได้ยากว่าจะอาการรุนแรงหรือไม่
โรคไข้เลือดออก มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี 1 ใน 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 DENV-4 ผ่านการกัดของยุงลายบ้าน หรือยุงไข้เหลืองเพศเมีย (aedes aegypti) เมื่อยุงลายกัดและดูดเลือดผู้ที่มีเชื้อไวรัสเดงกีช่วงที่ไวรัสแพร่กระจายในกระแสเลือด และยุงตัวนั้นไปกัดผู้อื่น เชื้อไวรัสเดงกีจะแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ที่ถูกกัดจนทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัส
เนื่องจากเชื้อไวรัสเดงกีทั้ง 4 สายพันธุ์ มีการแพร่ระบาดสลับหมุนเวียนกัน ทำให้ในแต่ละปีมีสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดแตกต่างกันออกไป ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อไวรัสเดงกีได้มากกว่า 1 ครั้ง กรณีติดเชื้อครั้งที่ 2 เกิดจากสายพันธุ์ที่แตกต่างจากครั้งแรก อาจมีอาการรุนแรงเพิ่มมากขึ้น โดยอาการของโรคไข้เลือดออกแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
ปวดศีรษะ
ปวดท้องอย่างรุนแรง (บริเวณชายโครงขวา)
เมื่อแพทย์ยืนยันผลการตรวจพบโรคไข้เลือดออก จะเริ่มทำการรักษาด้วยการช่วยให้ร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อกลับเข้าสู่สภาวะปกติเร็วที่สุด และป้องกันภาวะช็อก ดังนี้
ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจ มีทั้งอาการที่ไม่หนักมาก หรืออาการหนักจนไวรัสลงปอดได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของร่างกายและการได้รับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โดยโรคไข้หวัดใหญ่แบ่งออกได้หลายสายพันธุ์ ในประเทศไทยที่ระบาดมากที่สุด 3 อันดับ ดังนี้
เชื้อไวรัสสายพันธุ์ A B และ C จะเติบโตและแพร่กระจายได้เร็วในสภาพอากาศเย็นและชื้น โดยแฝงมากับสารคัดหลั่ง เช่น เสมหะ น้ำมูก ละอองน้ำลาย และผิวหนัง
หลังจากที่ผู้ป่วยได้รับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ร่างกายจะยังไม่แสดงอาการทันที ต้องใช้ระยะเวลาในการฝักตัว 1 - 4 วัน จากนั้นจะแสดงอาการ ดังนี้
ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่จะแสดงอาการรุนแรงแตกต่างกัน กรณีอาการหนักหรือมีอาการแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคประจำตัว ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและทำการรักษา โดยเฉพาะหากมีอาการ ดังนี้
การรักษาโรคไข้หวัดใหญ่เบื้องต้น สำหรับผู้ที่มีอาการเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีอาการแทรกซ้อน ดังนี้
โรค RSV เป็นไวรัสชนิดมีเปลือกหุ้ม ชื่อเต็มว่า Respiratory Syncytial Virus มี 2 สายพันธุ์ คือ RSV-A และ RSV-B เป็นไวรัสก่อการติดเชื้อทางเดินหายใจของเด็กทั่วโลก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และมีการระบาดช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนกรกฎาคม- กันยายน แต่สามารถพบโรคนี้ในเด็กได้ตลอดทั้งปี
โรคติดเชื้อไวรัส RSV ใช้เวลาในการฟื้นไข้ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ ไวรัสชนิดนี้ทำให้เกิดอาการได้ตั้งแต่ไข้หวัดธรรมดา รวมถึงอาการรุนแรงเป็นปอดบวมซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต ทั้งนี้ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหากร่างกายอ่อนแอ ส่วนใหญ่เด็กที่ติดเชื้อไวรัส RSV มักเริ่มต้นด้วยไข้หวัดธรรมดา ไข้ต่ำ มีน้ำมูก และไอ หลังจากนั้นอาการจะรุนแรงขึ้น ดังนี้
เด็กเล็กต่ำกว่า 2 ปี หากมีอาการข้างต้น ควรพามาพบแพทย์ทันที
โรคมือ เท้า ปาก เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (enterovirus) ที่พบบ่อย ได้แก่ คอกแซกกี (Coxsackie virus) และเอนเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71: EV71) ระบาดในประเทศไทยระบาดช่วงฤดูฝน ส่วนใหญ่พบในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี แม้อาการไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้ภายใน 7-10 วัน แต่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
โรคมือ เท้า ปาก ติดต่อผ่านการสัมผัสเชื้อไวรัสที่ออกมาทางอุจจาระ น้ำเหลืองจากตุ่มน้ำบริเวณผิวหนัง หรือละอองน้ำมูก น้ำลายของผู้ติดเชื้อ การป้องกันโรคที่ดีที่สุด คือยึดหลักการรักษาสุขอนามัย ดังนี้
โนโรไวรัส (Norovirus) เป็นเชื้อไวรัสก่อให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร สามารถทนทานต่อความร้อน น้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ รวมทั้งแอลกอฮอล์ไม่สามารถที่จะฆ่าเชื้อได้ ระบาดได้ง่ายในเวลาอันรวดเร็ว มักติดต่อจากการปนเปื้อนในอาหาร และน้ำดื่ม สามารถเกิดการระบาดในเด็กได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว เด็กที่ติดเชื้อมักมีอาการท้องเสีย คลื่นไส้ และอาเจียนอย่างรุนแรง อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
เชื้อโนโรไวรัส จะไปอยู่ในลำไส้เล็กส่วนต้น ในช่วง 24 – 48 ชั่วโมง และแสดงอาการ ดังนี้
โรคเฮอร์แปงไจนา (Herpangina) เป็นโรคติดเชื้อจากไวรัสชนิดเดียวกับโรคมือ เท้า ปาก ซึ่งเป็นกลุ่มของเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) แต่มีอาการแตกต่างกัน โดยจะมีแผลเฉพาะที่ปากเท่านั้น ทั้งนี้ผู้ป่วยจะมีอาการหลังได้รับเชื้อประมาณ 4-14 วัน (ระยะฟักตัวของโรค) ซึ่งผู้ป่วยที่ติดเชื้อจะแพร่เชื้อได้ตั้งแต่วันแรกที่ติดเชื้อ ไปจนกว่าจะหายจากโรค ประมาณ 1-2 สัปดาห์ นับจากติดเชื้อผ่านทางน้ำมูก ไอ จาม
การรักษา เนื่องจากเป็นโรคที่หายได้เอง จึงไม่มียารักษาเฉพาะและรักษาตามอาการ ดังนี้
โรคฝีดาษลิง เป็นโรคจากสัตว์สู่คน โดยเฉพาะลิง หรืออาจเป็น หนู กระรอก กระแต และแพร่กระจายจากคนสู่คนโดยการสัมผัสใกล้ชิดกับผิวหนังหรือสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจ มีโอกาสติดเชื้อจากมารดาสู่ทารกผ่านทางรกหรือระหว่างคลอด โดยไวรัสอยู่ในสกุลเดียวกันกับไวรัสไข้ทรพิษและโรคฝีดาษ โดยมีอาการเริ่มต้นคล้ายไข้หวัดใหญ่ จากนั้นจะเห็นผื่นแดงตามใบหน้าและร่างกาย
อาการของฝีดาษลิง โรคฝีดาษลิงมักมีระยะเพาะเชื้อ 6-13 วัน โดยอาการของโรคแบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์
แม้โรคฝีดาษลิงมีความรุนแรงของโรคต่ำกว่า และสามารถหายได้เองภายใน 2-4 สัปดาห์ แต่พบอัตราการเสียชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยเด็ก ดังนั้นหากพบภาวะแทรกซ้อนของโรคที่ส่งผลความรุนแรงของโรค ควรพบแพทย์ในทันที ดังนี้
การรักษา
ผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงสามารถหายเองได้ การรักษาจึงเป็นการรักษาตามอาการ เช่น
การป้องกัน
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเปิดเทอมไปโรงเรียน หยุดอยู่บ้าน หรือออกไปเที่ยวกับคุณพ่อคุณแม่ เด็กๆ ควรได้รับการดูแลสุขภาพร่างกาย ทั้งด้านความสะอาด และเคร่งครัดด้านสุขลักษณะให้ครบถ้วนสมบูรณ์ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ
รวมถึงสร้างภูมิต้านทานให้ตัวเองแข็งแกร่ง ฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ให้ครบ ไม่ว่าจะเป็น
เพื่อที่จะสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย พร้อมกันนี้กินอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ พักผ่อนนอนหลับเพียงพอ 8 ชั่วโมง ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมอย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน และเมื่อร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังจะต่อยอดให้เด็กๆ มีพัฒนาการการเจริญเติบโต เป็นหนุ่มเป็นสาวสมวัย อีกด้วย
กังวลเรื่องสุขภาพ?
ติดต่อสอบถาม