โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) คือ โรคโลหิตจางที่เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบยีนด้อย ที่ทำให้มีความผิดปกติในการสร้างสารฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญในเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงมีรูปร่างผิดปกติและถูกทำลายได้ง่าย ส่งผลให้เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้น้อยลง นำไปสู่การเกิดภาวะโลหิตจางเรื้อรัง และโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น การเจริญเติบโตช้า โรคเบาหวาน นิ่วในถุงน้ำดี ภาวะเหล็กเกิน การทำงานของหัวใจและตับผิดปกติ
ผู้ป่วยจะแสดงอาการซีดเรื้อรังตั้งแต่เด็ก และไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ในปัจจุบันมีวิธีการที่สามารถรักษาโรคธาลัสซีเมียได้คือ การรักษาด้วยวิธีปลูกถ่ายไขกระดูก หรือเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด
ธาลัสซีเมียเป็นโรคทางพันธุกรรมที่พบมากที่สุดในประเทศไทย อุบัติการณ์ของผู้ที่มียีนแฝง หรือ พาหะธาลัสซีเมีย (Thalassemia carrier) แบ่งตามชนิดได้ดังนี้
และยังมีฮีโมโกลบินผิดปกติ (Hemoglobinopathy) ที่พบบ่อย 2 ชนิด คือ ฮีโมโกลบินอี (Hb E) ร้อยละ 13 โดยพบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถึงร้อยละ 30 – 50 และ ฮีโมโกลบินคอนแสตนท์ สปริง (Hb Constant Spring, CS) พบร้อยละ 1 – 8
“
โรคธาลัสซีเมียเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบยีนด้อย หากพบว่าพ่อและแม่เป็นพาหะทั้งคู่ มีโอกาสที่ลูกจะเกิดมาเป็นโรคธาลัสซีเมียได้ 25 %
”
คนปกติจะมีการสร้างสายโกลบินของสายอัลฟาโกลบิน และเบต้าโกลบินที่สมดุลกัน หากเกิดความไม่สมดุลของการสร้าง globin chain มีผลทำให้เกิดการรวมตัวกันและตกตะกอนในเม็ดเลือดแดงตัวอ่อน เกิดการสร้างเม็ดเลือดแดงที่ไม่มีประสิทธิภาพในไขกระดูก และกระตุ้นให้เกิดการตายของเม็ดเลือดแดงตัวอ่อนในไขกระดูก
นอกจากนี้เม็ดเลือดแดงตัวแก่มีการแตกง่ายขึ้น เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกเรื้อรัง ทำให้เกิดภาวะซีด ร่างกายจึงปรับตัวโดยการทำให้ไขกระดูกขยายตัวเพื่อสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น จึงทำให้ผู้ป่วยมีตับม้ามโต มีกระดูกกระโหลกและหน้าตาที่ผิดปกติ การเจริญเติบโตช้า
การวินิจฉัยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย จำเป็นต้องอาศัย การซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยมีประวัติอาการบ่งชี้สัญญาณของโรค เช่น
การคัดกรองหาพาหะของโรคธาลัสซีเมีย มีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ป่วยใหม่ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง ได้แก่ beta-thalassemia major, beta-thalassemia Hb E และ Bart’s hydrops fetalis โดยจะต้องมีความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ เพื่อคัดกรองหาคู่สมรสที่มีความเสี่ยงให้กำเนิดทารกที่เป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง ผ่านกระบวนการ prenatal counseling, prenatal diagnosis และ genetic counseling
ผู้ที่ตรวจพบว่าเป็นพาหะโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย สามารถมีสุขภาพแข็งแรงเหมือนคนปกติ และใช้ชีวิตประจำวันได้ โดยไม่ต้องรับประทานยา แต่แนะนำให้เข้ารับการตรวจคัดกรองกรณีต้องการมีบุตร เนื่องจากมีโอกาสถ่ายทอดมียีนธาลัสซีเมียไปยังลูกหลานได้
กรณีตรวจพบเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย อาจมีอาการแสดงออกแตกต่างกัน เช่น ตัวซีด ตับม้ามโต ควรเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี เช่น การให้เลือดและยาขับธาตุเหล็กส่วนเกินออกจากร่างกายเป็นระยะๆ หรือผ่าตัดม้ามออกเพื่อลดการทำลายเม็ดเลือดแดง
สำหรับผู้มีอาการน้อย ซีดไม่มาก จะรักษาตามอาการ รวมถึงรักษาสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ไม่หักโหมเกินไป สิ่งสำคัญไม่ควรซื้อธาตุเหล็กหรือยาอื่นๆ มารับประทานเองเด็ดขาด
การรักษาโรคธาลัสซีเมียขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค สำหรับผู้ป่วยโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับเลือดอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาระดับฮีโมโกลบินให้ใกล้เคียงกับคนปกติ ร่วมกับการให้ยาขับธาตุเหล็กเมื่อมีภาวะเหล็กเกิน
สำหรับวิธีการรักษาโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง มีเพียงวิธีเดียวที่ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้หายขาดจากโรคได้ในปัจจุบัน คือการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (allogeneic bone marrow transplantation) อย่างไรก็ตาม การปลูกถ่ายไขกระดูกเพื่อรักษาโรคธาลัสซีเมีย สามารถทำได้ระหว่างพี่น้องหรือคนอื่นที่มีเนื้อเยื่อตรงกันเท่านั้น แต่มีข้อจำกัด เช่น พ่อแม่มีลูกคนเดียว หรือมีพี่น้องที่ป่วยด้วยโรคธาลัสซีเมียเช่นกัน รวมถึงโอกาสที่พี่น้องจะมีเนื้อเยื่อตรงกัน มีเพียง 25% เท่านั้น
ปัจจุบันการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อรักษาโรคธาลัสซีเมียมีการพัฒนามากขึ้น โดยการนำเซลล์ต้นกำเนิดจากพ่อหรือแม่มาใช้ในการรักษา (Haploidentical Stem cell Transplantation) ซึ่งผู้บริจาคเซลล์ต้นกำเนิดมี HLA ที่เหมือนกันกับผู้ป่วยเพียงครึ่งเดียว ก็สามารถปลูกถ่ายไขกระดูกได้ โดยส่วนใหญ่ผู้บริจาคคือพ่อหรือแม่ของผู้ป่วยเอง จึงเป็นการเพิ่มโอกาสการรักษามากยิ่งขึ้น
การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดชนิดเหมือนกันเพียงครึ่งเดียว ใช้วิธีการเหมือนกับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดแบบธรรมดา โดยไม่ต้องรับการผ่าตัด แต่เป็นการให้ยาเคมีบำบัดเพื่อทำลายไขกระดูกเดิม จากนั้นนำเซลล์ต้นกำเนิด (Stem cell) ของผู้บริจาคให้กับผู้ป่วยทางเส้นเลือด โดยเซลล์จะนำเข้าไปในไขกระดูกและสร้างเซลล์เม็ดเลือดตามปกติ
หลังจากนั้นผู้ป่วยจะได้รับยากดภูมิคุ้มกันเพื่อควบคุมอาการปฏิเสธไขกระดูกเป็นเวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี ซึ่งจำเป็นจะต้องอาศัยประสบการณ์ของทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญโรคเลือดและโรคมะเร็งในการเลือกใช้ยาที่เหมาะสมด้วยความระมัดระวัง
การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเพียงครึ่งเดียว จึงเป็นวิธีการรักษาที่จะทำให้เพิ่มโอกาสในการรักษาโรคธาลัสซีเมียให้หายขาดได้มากขึ้น
สมัครสมาชิกเพื่อจัดเก็บข้อมูลของคุณสำหรับการนัดหมายครั้งต่อไป
มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว? เข้าสู่ระบบที่นี่