Wearable Technology เทคโนโลยีสวมใส่ที่เป็นมากกว่าแค่แฟชั่น ตัวช่วยปรับปรุงพฤติกรรมการนอนหลับ

Wearable Technology เทคโนโลยีสวมใส่ที่เป็นมากกว่าแค่แฟชั่น ตัวช่วยปรับปรุงพฤติกรรมการนอนหลับ

HIGHLIGHTS:

  • การนอนหลับที่เพียงพอและมีคุณภาพ มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคอ้วน เบาหวาน และโรคหัวใจ ทั้งยังส่งเสริมสุขภาพโดยรวมในระยะยาว
  • Wearable Technology หรือ เทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะสามารถติดตามและประเมินคุณภาพการนอนหลับได้อย่างแม่นยำจากที่บ้าน โดยไม่ต้องเข้ารับการตรวจในสถานพยาบาล
  • ข้อมูลจากอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะช่วยให้ผู้ใช้งาน เข้าใจพฤติกรรมการนอนของตนเอง และสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตได้อย่างเหมาะสม

มนุษย์เรานั้นใช้เวลาเกือบ 1 ใน 3 ของชีวิตไปกับการนอนหลับ และคุณภาพของการนอนหลับนั้นส่งผลอย่างมากต่อสุขภาพ ประสิทธิภาพในการ

ทำงาน รวมถึงความเป็นอยู่ที่ดี งานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดีกับผลเสียต่อสุขภาพ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง อารมณ์แปรปรวน ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น  

ความสำคัญของเทคโนโลยีในการจัดการการนอนหลับ

เนื่องจากผู้คนจำนวนมากตระหนักว่าคุณภาพการนอนหลับเป็นองค์ประกอบสำคัญของชีวิต การวิจัยและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพการนอนหลับจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2019 ธุรกิจที่ตอบโจทย์ด้านการนอนหลับทั่วโลกมีมูลค่ามากถึง 432 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ในทางกลับกัน จำนวนคนที่นอนหลับไม่เพียงพอหรือมีปัญหาด้านการนอนหลับกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จึงได้มีการพัฒนาเครื่องมือในการประเมินการนอนหลับ “โพลีซอมโนกราฟี” (Polysomnography - PSG) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ผสมผสานการตรวจหลายชนิดเข้าด้วยกัน ประกอบด้วยการตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography -EEG) การบันทึกการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อลูกตา (Electrooculography - EOG) การประเมินลักษณะการหายใจและการตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อ (Electromyography -EMG) เพื่อประเมินลักษณะและคุณภาพของการนอนหลับ รวมถึงประเมินระดับความลึกของการนอนหลับ โดยสิ่งเหล่านี้สามารถบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการนอนหลับ ร่วมกับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้

แต่ด้วยราคาและความซับซ้อนของเครื่องมือที่จำเป็นต้องให้ผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาลทำการติดตั้งอุปกรณ์เซ็นเซอร์ ทั่วร่างกายของผู้ป่วย รวมถึงการเข้าตรวจในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการนอนหลับตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากละเลยการเข้ารับการทดสอบการนอนดังกล่าวนี้     

อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีของอุปกรณ์สวมใส่ในปัจจุบัน ได้มีการนำเสนอทางเลือกสำหรับการตรวจสอบการนอนหลับที่บ้านเพื่อแก้ไขปัญหาของ PSG ด้วยระบบที่พัฒนาขึ้นใหม่ สวมใส่ได้ง่าย มีเซ็นเซอร์และตำแหน่งเฉพาะในการวัดสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ รวมถึงกิจกรรมของสมอง กิจกรรมของหัวใจ ข้อมูลเลือด การหายใจ และการเคลื่อนไหวขณะหลับ จึงเป็นการให้กำเนิดอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะที่สามารถประเมินการนอนหลับได้สะดวกสบายและแม่นยำมากยิ่งขึ้น

การตรวจจับปัญหาการนอนหลับด้วยอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ Wearable Technology

การประเมินการนอนหลับอย่างแม่นยำถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจและประเมินบทบาทของการนอนหลับในด้านสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บ  การเติบโตของเทคโนโลยีที่สวมใส่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิวัติสุขภาพดิจิทัล ด้วยการผลิตอุปกรณ์สำหรับผู้บริโภคที่แปลกใหม่ มีความซับซ้อนสูง และมีราคาไม่แพง โดยสามารถรวบรวมข้อมูลจากเซ็นเซอร์หลายตัวและดึงข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้ รวมถึงการนอนหลับได้ 

ในอดีตอุปกรณ์สวมใส่ส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานเพื่อติดตามการออกกำลังกาย แต่ปัจจุบันสามารถวัดสัญญาณชีวภาพได้หลายสัญญาณ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจและความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ การนำไฟฟ้าของผิวหนัง และอุณหภูมิร่างกาย  อีกทั้งยังสามารถดึงข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมต่างๆ รวมถึงการนอนหลับออกมาได้ด้วยความสามารถในการเข้าถึงแพลตฟอร์มบนคลาวด์ที่ใช้สำหรับจัดเก็บและรวบรวมข้อมูล ความสามารถในการใช้งาน ความแปลกใหม่ และราคาที่จับต้องได้ ทำให้อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และมีส่วนทำให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญของการนอนหลับมากขึ้น

โดยออกมาในรูปแบบของอุปกรณ์ติดตามการนอนหลับแบบสวมใส่ได้ เช่น

  • สายรัดข้อมืออัจฉริยะ
  • สายรัดแขน 
  • สมาร์ทวอทช์ (Smart Watch) 
  • ที่คาดศีรษะ 
  • แหวนอัจฉริยะ (Smart Ring)
  • คลิปเซ็นเซอร์ 

โดยอุปกรณ์เหล่านี้สามารถหาซื้อได้ง่ายและมีราคาที่จับต้องได้ด้วยเช่นกัน

การรู้จักตัวเองผ่านข้อมูลการนอนหลับ

โดยปกติการทดสอบการนอนหลับ (Sleep Test) ด้วย PSG เป็นการประเมินการนอนหลับตามมาตรฐานของสมาคมวิชาชีพของสหรัฐอเมริกาที่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เฉพาะทางด้านการนอนหลับ (American Academy of Sleep Medicine -AASM) ด้วยการตรวจวัดดังนี้

  • สัญญาณคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalogram - EEG) 
  • การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ( Electromyogram - EMG) 
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าลูกตา (Electrooculography- EOG )
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram - ECG หรือ Elektrokardiogram: EKG) 
  • ลักษณะลมหายใจ (Airflow) เพื่อหาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
  • เสียงกรน (Snore)
  • การเคลื่อนไหวของทรวงอก (Chest Respiratory effort)
  • การเคลื่อนไหวของช่องท้อง (Abdominal Respiratory effort)
  • ระดับออกซิเจนในเลือด (Oxygen saturation)
  • ชีพจร (Pulse)
  • ท่าทางการนอน (Body position) เข่น นอนหงาย ตะแคงซ้าย ขวา

เมื่อได้ผลจากการทำ Sleep Test แล้ว แพทย์จะนำข้อมูลมาวิเคราะห์และแปลผลเพื่อวินิจฉัยความผิดปกติต่างๆ พร้อมทั้งประเมินความรุนแรง ซึ่งจะพิจารณาจากการหยุดหายใจขณะหลับ ระดับออกซิเจนในเลือดขณะหลับ ภาวะเคลื่อนไหวและพฤติกรรมผิดปกติขณะหลับ นอนแขนขากระตุกขณะหลับ การละเมอ ภาวะนอนไม่หลับ และความผิดปกติอื่นๆ โดยสิ่งสำคัญคือ ตัวเลขของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น หรือ Apnea Hypopnea Index (AHI) ซึ่งจะบอกถึงระดับความรุนแรงของการหยุดหายใจ

ทางเลือกใหม่ที่ได้รับการยอมรับสำหรับการทดสอบการนอนหลับ คือ อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะที่เรียกว่า แอคติกราฟ (ActiGraph) ซึ่งจะตรวจจับการเคลื่อนไหวต่างๆ ขณะหลับ โดยสามารถช่วยวินิจฉัยอาการผิดปกติของการนอนหลับได้ รวมถึงประเมินสถานะการนอนและตื่น โดยสมมติฐานง่ายๆ ที่ว่าการเคลื่อนไหวบ่งบอกถึงการตื่น และการไม่เคลื่อนไหวบ่งบอกถึงการนอน ผ่านอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็ก สะดวกสบาย และมีคุณสมบัติกันน้ำ สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ต่อเนื่อง รวมถึงได้รับการออกแบบมาให้สวมใส่ได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน  

และจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้มีการใช้เซ็นเซอร์ต่างๆ เข้ามามีบทบาทในอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะมากขึ้นโดยการทำให้มีขนาดเล็กลง ใช้พลังงานต่ำ ต้นทุนต่ำ เพิ่มการเชื่อมต่อและการทำงานของเซ็นเซอร์ชีวภาพ ทำให้อุปกรณ์สวมใส่รุ่นใหม่สามารถบันทึกสัญญาณชีวภาพในช่วงกว้างได้อย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีโฟโตพลีทิสโมกราฟีแบบออปติคัล (Photoplethysmography -PPG) ที่สามารถวัดการเปลี่ยนแปลงของปริมาณหลอดเลือดฝอยที่อยู่ใต้ผิวหนัง ด้วยลำแสงหรือเซ็นเซอร์ในการวัด จะสามารถวัดค่าออกซิเจนในเลือดและการวัดชีพจร ซึ่งช่วยยกระดับการจำแนกระยะการนอนหลับได้  รวมถึงเป็นตัวบ่งชี้การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติของหัวใจในระหว่างการนอนหลับได้อย่างน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้สวมใส่สามารถตรวจวัดและดูแลสุขภาพการนอนหลับเบื้องต้นได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การปรับปรุงพฤติกรรมการนอนหลับด้วยข้อมูลจากอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ

ท่ามกลางตารางงานที่เคร่งครัด หลายคนมักประสบปัญหาการนอนหลับ อุปกรณ์สวมใส่ที่มีความสามารถในการติดตามการนอนหลับจะให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับรูปแบบและคุณภาพการนอนหลับ ผู้สวมใส่จึงสามารถฟื้นฟูจิตใจและร่างกาย โดยการปรับเปลี่ยนการนอนหลับได้  

อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะสามารถติดตามระยะเวลา ความสม่ำเสมอ และคุณภาพของการนอนหลับโดยการตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหว และรูปแบบการหายใจ ข้อมูลดังกล่าวจะเผยให้เห็นปัญหาต่างๆ เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ การตื่นกลางดึก เปอร์เซ็นต์การนอนหลับตื้นเทียบกับการนอนหลับลึก เป็นต้น  

การนอนหลับที่ดีต้องได้ทั้งชั่วโมงการนอนและคุณภาพการหลับ ดังนี้

  • ชั่วโมงการนอน  ผู้ใหญ่ควรนอนประมาณ 7 – 8 ชั่วโมง  และเด็ก 11 – 13 ชั่วโมง  
  • คุณภาพการหลับ การหลับอย่างมีคุณภาพ คือ การหลับครบทั้ง 4 ระยะ ได้แก่  หลับตื้น เป็นระยะแรกที่มีการหลับ หลับปกติ ช่วงการนอนหลับที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย หลับลึก เป็นช่วงหลับสนิทที่สุดของการนอนใช้เวลา 30 – 60 นาที  อุณหภูมิร่างกายและความดันโลหิตจะลดลง อัตราการเต้นของหัวใจลดลงเหลือประมาณ 60 ครั้งต่อนาที ซึ่งโกรทฮอร์โมนจะหลั่งในระยะนี้ และระยะหลับฝัน ซึ่งเป็นช่วงสำคัญที่ร่างกายได้พักผ่อน แต่สมองยังตื่นตัว เป็นการช่วยจัดระบบความจำต่างๆ 

สุขภาพดีขึ้น จากการนอนหลับที่ดีขึ้น

การอดนอนหรือการนอนที่ไม่มีคุณภาพ อาจส่งผลให้หงุดหงิด ฉุนเฉียว หรืออ่อนล้า หากเกิดปัญหาการนอนบ่อยครั้ง อาจส่งผลกระทบถึงสุขภาพทางกาย จิตใจ และสังคมรอบข้างได้

จากงานวิจัยพบว่า การมีคุณภาพการนอนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตในหลายแง่มุม ตั้งแต่เรื่องการคุมน้ำหนัก ลดอัตราการเกิดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ และเพิ่มภูมิคุ้มกัน  

โดยผลลัพธ์ที่ได้จากการปรับปรุงการนอนหลับ ส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม ดังนี้

  • เพิ่มประสิทธิภาพความจำและสมาธิ การนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอและมีคุณภาพ ส่งผลดีต่อสมองในการจัดเก็บความจำให้เป็นระเบียบ เพื่อเตรียมพร้อมต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ  
  • พัฒนาสภาวะทางอารมณ์และความสัมพันธ์ การนอนหลับที่ดีจะช่วยลดความเครียด เพิ่มความสามารถในการควบคุมอารมณ์ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ทุกรูปแบบดีขึ้น
  • หัวใจแข็งแรง การนอนหลับพักผ่อนให้สนิท นอนให้เป็นเวลา นอนครบตามจำนวนที่เหมาะสม ไม่เพียงช่วยให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังดีต่อสุขภาพหัวใจที่ดีด้วยเช่นกัน
  • ช่วยควบคุมน้ำหนัก การนอนไม่พออาจทำให้ฮอร์โมนเลปตินซึ่งเป็นฮอร์โมนช่วยให้รู้สึกอิ่มมีปริมาณลดลง ทั้งยังเป็นการเพิ่มปริมาณฮอร์โมนเกรลินที่ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารให้สูงขึ้นด้วย ส่งผลให้ผู้ที่นอนน้อยรู้สึกหิวบ่อยกว่าปกติ  
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน  การนอนหลับมีผลในการบรรเทาความเครียดและปรับสมดุลของเส้นประสาทซิมพาเทติก จึงมีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้เพิ่มและแข็งแรงขึ้น
  • ลดภาวะการเสียชีวิต จากการศึกษาพบว่าการนอนหลับน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ถึง 15%

จากการพัฒนาเทคโนโลยีของอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะเพื่อสุขภาพได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ตั้งแต่เครื่องมือง่ายๆ สำหรับติดตามกิจกรรมทางกายไปจนถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูงที่ตรวจสอบสัญญาณชีพ รูปแบบการนอนหลับ และอื่นๆ วิวัฒนาการนี้มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงผลลัพธ์ด้านสุขภาพและส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพด้วยความสามารถในการให้ข้อมูลด้านสุขภาพอันมีค่าผ่านการตรวจติดตามปัญหาการนอนหลับได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อุปกรณ์เหล่านี้ทำให้ผู้คนสามารถควบคุมและดูแลสุขภาพการนอนหลับของตนเองให้ดีมากยิ่งขึ้นได้นั่นเอง

คะแนนบทความ

มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว?