ค่าความดันโลหิต ปกติจะประกอบด้วย 2 ค่า คือ ความดันช่วงหัวใจบีบตัว (Systolic blood pressure, SBP) หรืออาจเรียกว่าความดันตัวบน และ ความดันช่วงหัวใจคลายตัว (Diastolic blood pressure, DBP) หรือความดันตัวล่าง
ตัวเลข 2 ค่านี้ จะเป็นความดันสูงสุดและต่ำสุดในหลอดเลือดแดง ซึ่งโดยทั่วไป การจะวินิจฉัยว่าใครสักคนเป็นโรคความดันโลหิตสูงนั้น จะใช้เกณฑ์ที่ความดันโลหิต (ตัวบน / ตัวล่าง) มากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท (mmHg) ตลอดเวลา แม้ในระยะพักผ่อนปกติ
แต่เนื่องจากข้อมูลงานวิจัยใหม่ๆ พบว่าความดันโลหิตที่สูงขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ก็เริ่มทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นแล้ว อ้างอิงตามคำแนะนำจากสมาคมโรคหัวใจสหรัฐอเมริกาปี 2017 จึงได้กำหนดนิยามความดันโลหิตสูงใหม่เป็น
Q: แล้วถ้าเราวัดความดันโลหิตตัวเองโดยบังเอิญ 1 ครั้ง พบว่าเข้าเกณฑ์ความดันโลหิตสูงแล้ว จะถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูงเลยหรือไม่
A: ยัง เนื่องจากความดันโลหิตคนเราจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ ได้ตลอดทั้งวันจากกิจกรรมต่าง ๆ ช่วงเวลากลางวันกลางคืน อารมณ์ หรือแม้แต่ปัจจัยเล็กน้อย เช่น เล่นโทรศัพท์มือถือ ก็ยังมีผลต่อระดับความดันโลหิตได้ ในผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะ “white coat hypertension” คือภาวะตื่นเต้นจากการมาพบคุณหมอ เลยทำให้วัดได้ความดันโลหิตสูงทุกครั้งที่มาโรงพยาบาล แต่กลับวัดได้ปกติเมื่ออยู่ที่บ้าน หรือบางคนซื้อเครื่องวัดความดันอัตโนมัติใช้เองที่บ้าน แต่เลือกรุ่นที่อุปกรณ์พันแขนขนาดไม่เหมาะสมกับตัวเอง ก็ทำให้ค่าความดันโลหิตเพี้ยนไปได้
ดังนั้นแล้ว เมื่อวัดความดันตัวเอง 1 ครั้ง แล้วพบว่าค่าสูงกว่าเกณฑ์ปกติ แนะนำให้มาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้แพทย์ช่วยวางแผนประเมินยืนยันว่า เราเป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้วหรือยัง ในบางรายแพทย์อาจแนะนำให้ทำตารางวัดความดันเองตามช่วงเวลาที่แพทย์กำหนดเมื่ออยู่บ้าน เพื่อยืนยันว่าค่าความดันโลหิตปกติในชีวิตประจำวันของคุณคือเท่าไรกันแน่ เพื่อจะได้รับการรักษาที่เหมาะสมได้อย่างแท้จริง
Q: เคยตรวจเจอว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูงแล้ว แต่ยังไม่เคยมีอาการผิดปกติใดๆ จำเป็นต้องรักษาเลยหรือไม่
A: จำเป็น เนื่องจากว่าโรคความดันโลหิตสูง จะมีลักษณะเป็นแบบ Silent killer (มัจจุราชเงียบ) คือผู้ป่วยโดยมากจะไม่มีอาการใดๆ เลย แต่อวัยวะภายในต่างๆ จะเกิดความเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดเมื่ออวัยวะต่างๆ ถูกทำลายไปแล้ว หรือเริ่มมีอาการแสดง เช่น เจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ อัมพฤกต์จากโรคหลอดเลือดสมอง ตัวบวมปัสสาวะออกน้อยจากโรคไตวาย ฯลฯ ก็ยากที่จะทำให้อวัยวะนั้น ๆ ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้อีก อาจจะช่วยได้เพียงแค่ประคับประคองอาการเท่านั้น
Q: แล้วจะทำอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง
A: สำหรับคนทั่วไป รวมถึงผู้มีความดันโลหิตสูงแล้ว การปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันที่เหมาะสม (lifestyle modification) จะมีบทบาทสำคัญในการควบคุมความดันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งก็คือ
สำหรับยาลดความดันโลหิต แพทย์มักจะสั่งให้ต่อเมื่อหลังจากพยายามปรับวิถีชีวิตประจำวันแล้ว ก็ยังไม่สามารถช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ ซึ่งในแต่ละคนจะมีใช้ยาลดความดันที่เหมาะกับตัวเองต่างๆ กันไป ต้องพิจารณาเลือกใช้ยาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ไม่ควรซื้อยาลดความดันมาใช้เองเป็นอันขาด เพราะนอกจากจะไม่ได้ผลในการรักษาแล้ว ยังอาจเกิดอันตรายแทรกซ้อนเพิ่มอีก เช่น ไตวาย หน้ามืด หมดสติ หรือ ช๊อค ได้
สมัครสมาชิกเพื่อจัดเก็บข้อมูลของคุณสำหรับการนัดหมายครั้งต่อไป
มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว? เข้าสู่ระบบที่นี่