จะเห็นได้ว่าเชื้อโควิด-19 มีการพัฒนาสายพันธุ์อย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นสายพันธุ์โอมิครอนในช่วงที่ผ่านมานี้ ซึ่งแพร่กระจายและติดต่อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น โดยเชื้อแพร่กระจายได้เร็วกว่าเดิม 3-4 เท่า ในต่างประเทศมีรายงานว่า อัตราการติดเชื้อของเด็กสูงขึ้นตามสัดส่วนของผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น แต่ในประเทศไทยผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อยังอยู่ในสัดส่วนเดิม คือ 10 เปอร์เซนต์
หากเปรียบเทียบอาการของเด็กกับผู้ใหญ่ที่ฉีดวัคซีนแล้ว ดูเหมือนกับว่าผู้ใหญ่จะมีอาการน้อยกว่า เพราะความรุนแรงของโรคจะลดลงเมื่อได้รับวัคซีน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความรุนแรงของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนสำหรับเด็กนั้นค่อนข้างน้อย จากการศึกษาพบว่า แนวโน้มการติดเชื้อโอมิครอนในเด็กนั้นก็มีความรุนแรงไม่มาก
แต่ถึงกระนั้นแล้ว วัคซีนโควิด-19 ก็ยังมีความจำเป็นกับเด็ก เพราะเด็กๆ จำเป็นต้องไปโรงเรียน หากเด็กมีการติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว จะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การได้รับวัคซีนจะทำให้การแพร่กระจายของโรคน้อยลงและสามารถควบคุมการระบาดได้ อีกทั้งในเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคทางเดินหายใจ ยิ่งจำเป็นต้องได้รับวัคซีนป้องกัน เพราะหากมีการติดเชื้อจะทำให้มีอาการรุนแรงได้
สำหรับกลุ่มอาการ MIS-C ที่เกิดหลังจากที่เด็กติดโควิด-19 และก่อให้เกิดการอักเสบกับอวัยวะและระบบต่างๆ ทั่วร่างกาย อันเนื่องมาจากระบบภูมิคุ้มกันที่สูงผิดปกตินั้น อาจทำให้มีอาการคล้ายโรคคาวาซากิ เช่น มีไข้สูง ผื่น ตาแดง ปากแดง ซึ่งหากอาการทวีความรุนแรงมากขึ้น อาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู
การวิจัยวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเด็กอายุ 5-11 ปี ได้ผลิตเสร็จสิ้นและมีการวางแผนที่จะเริ่มฉีดให้เด็กไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 โดยวัคซีนนี้เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันเช่นเดียวกันกับของผู้ใหญ่แต่จะมีปริมาณการฉีดที่น้อยกว่า โดยมีปริมาณเพียง 1 ใน 3 ที่ใช้ฉีดในเด็กกลุ่ม 12 – 18 ปีและในผู้ใหญ่เท่านั้น
จากข้อมูลการฉีดวัคซีนในเด็กอายุ 5-11 ปี ในกลุ่มตัวอย่าง พบว่ามีอาการรุนแรงหลังฉีดวัคซีนน้อยกว่าวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ และส่วนมากมีผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อย เช่น ปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน มีไข้ อาจมีอาการหนาวสั่น ปวดข้อและกล้ามเนื้อ อาการเหล่านี้มักจะดีขึ้นภายใน 24 - 48 ชั่วโมง และบางคนก็ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
ส่วนอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเด็กกลุ่มนี้ จากการศึกษาพบว่ามีน้อยมาก โดยในเด็กผู้หญิงพบเพียง 2 คนในล้านคน ในเด็กผู้ชายพบเพียง 4 คนในล้านคน เท่านั้น
เด็กๆ ควรเตรียมร่างกายให้แข็งแรง ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชม. ก่อนมารับวัคซีน และยังสามารถฉีดพร้อมวัคซีนตัวอื่นๆ ได้ ไม่ต้องเว้นระยะ ในส่วนของเด็กที่เคยติดโควิด-19 แล้วก็สามารถให้กระตุ้นวัคซีนโควิด-19 ได้ภายหลังจากที่หายเป็นปกติแล้ว 1 เดือน แต่สำหรับการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 และ 4 ในเด็กกลุ่ม 5 – 11 ปีนั้น ยังอยู่ในกระบวนการศึกษา ซึ่งคาดว่าจะมีข้อสรุปในเร็ววันนี้
ในด้านของการวิจัยวัคซีนในเด็กอายุ 2- 5 ปี ยังอยู่ในกระบวนการศึกษา ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเสร็จสิ้นภายในปี 2565 นี้ โดยคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงปริมาณการฉีด ส่วนเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาอยู่เช่นกัน โดยอาจจำเป็นต้องใช้ระยะเวลานานในการศึกษาเพราะอายุของเด็กที่น้อยลง และปัจจุบันก็ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ในเด็กทารกวัย 6 เดือนอีกด้วย
การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วย Antigen Test Kit (ATK) ในเด็กเป็นอีกทางหนึ่งในการช่วยลดการระบาดของเชื้อโควิด-19 ดังนั้น การตรวจด้วยวิธีนี้จึงค่อนข้างมีความสำคัญ โดยแนะนำให้มีการตรวจประมาณ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ สำหรับเด็กที่ต้องไปโรงเรียนหรือมีความเสี่ยง แต่ในบางกรณีที่มีการใกล้ชิดหรือเพิ่งสัมผัสกับผู้ป่วย การตรวจ ATK ก็อาจไม่แสดงผลที่ชัดเจน หรือตรวจแล้วยังไม่พบเชื้อเพราะเชื้อยังอยู่ในระยะฟักตัว
ดังนั้น หลังตรวจก็ยังจำเป็นต้องกักตัวเพื่อดูอาการและตรวจซ้ำ ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูง เช่น กินอาหารด้วยกัน อยู่ในห้องปิดด้วยกัน แม้ตรวจเชื้อด้วย ATK ไม่เจอ ก็ต้องกักตัวอย่างน้อย 7 วัน และต้องทำการตรวจซ้ำในวันที่ 5 และวันที่ 10 โดยนับจากวันที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อครั้งสุดท้าย
ในส่วนของการตรวจ หากจำเป็นต้องตรวจกันเองในครอบครัว ไม่แนะนำให้ใช้ชุดตรวจที่ต้องแยงจมูกแบบลึก เพราะคนในครอบครัวอาจไม่มีความเชี่ยวชาญ อาจเกิดการผิดพลาดและเป็นอันตรายได้ ในกรณีที่แยงเข้าไปลึกจนเกินไป อาจไปกระทบกระเทือนถึงด้านหลังคอหอย หรือในกรณีที่เด็กเจ็บ ตกใจ สะบัด ขัดขืน ดิ้น อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ จึงแนะนำให้เลือกชุดตรวจที่ใช้วิธีป้ายจมูกแบบตื้น
สิ่งสำคัญ คือ ต้องมีการหมุนเขี่ยภายในจมูกให้ทั่วเพราะการตรวจหาเชื้อต้องเก็บเนื้อเยื่อภายในจมูกที่อาจมีเชื้อมาตรวจสอบ ส่วนในกรณีที่ตรวจด้วยเครื่องตรวจแบบน้ำลาย ต้องมีการขากน้ำลายอย่างถูกต้อง เพราะต้องตรวจเนื้อเยื่อในลำคอที่อาจมีเชื้อมาตรวจสอบ การตรวจแบบน้ำลายจึงเหมาะกับการตรวจในเด็กที่ค่อนข้างโตพอที่จะขากน้ำลายได้ ทั้งนี้ ต้องศึกษาวิธีการใช้งานของชุดตรวจแต่ละยี่ห้ออย่างละเอียด เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของการทดสอบ
การติดเชื้อโควิด-19 ในเด็กแม้จะมีความรุนแรงน้อย แต่เด็กก็จำเป็นต้องได้รับวัคซีน เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมการระบาดให้น้อยลง การฉีดวัคซีนจะเป็นตัวช่วยสำคัญทำให้การใช้ชีวิตของทุกคนกลับมาปกติดังเดิม
สมัครสมาชิกเพื่อจัดเก็บข้อมูลของคุณสำหรับการนัดหมายครั้งต่อไป
มีบัญชีผู้ใช้อยู่แล้ว? เข้าสู่ระบบที่นี่